Phuket@30July2010

6 Jul

… ระหว่างเดินเอ้อระเหยสัมผัสกับอากาศของ จ. ภูเก็ต ภายในสนามบินได้ไม่เกินสิบนาที แทนที่เราจะได้ยินสำเนียงเสียงภาคใต้ กลับเป็นสุ่มเสียง อันยองโฮเซโย… เพราะเราดันหลงไปอยู่ในหมู่คนเกาหลีที่นิยมไทยซะได้ พอรู้ตัวก็ไม่ได้เดินหลบหลีกไปไหน กลับกันเพราะยังไงเราก็ต้องติดแหงกอยู่ในนี้อีกเกือบชั่วโมง เราเลยนั่งลงรวมกับพี่ๆชาวเกาหลีไปซะอย่างนั้น อย่างน้อย ก็เพลินแปลกตากว่านั่งกับหมู่คนไทยด้วยกัน ฟังพวกเขาพูดโหวกเเหวกข้ามหัวไปข้ามหัวมาก็ตลกดี ที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

พวกเขาก็มองเรางงๆ แต่จะทำอะไรได้ นอกจากคิดด่าในใจว่า “หืมม มานั่งเกะกะเขาทำไม”

ตอน แรกที่พี่ๆบอกให้มาภูเก็ต เราคิดแต่ว่าจะเที่ยวยังไง ให้ไม่เสียงาน ก่อนจะพบความจริงว่า งานไม่เสียเลย แล้วเราก็ไม่ได้เที่ยวด้วย … ทั้งๆที่มาเกาะและยังตะลอนๆทั่วทั้งเมืองตลอดสองวัน  กลับเห็นทะเลเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะทำหน้าตาน่าสงสารหรือออดอ้อนยังไง ก็ไม่มีเวลาเหลือพอจะปลีกตัวไปลัลล้าชายหาดไหนได้เลย พอตกค่ำ ก็อยากจะนอนสลบเอาแรงไว้ลุยงานต่อวันรุ่งขึ้น กลายเป็นคนใช้แรงงานอย่างเต็มรูปแบบเลยทีเดียว

ที่ภูเก็ต เราได้รู้จักพี่สองคน ชื่อ พี่นัน กับ พี่มูซา

พี่ นัน รูปร่างผอมและสูง คล่องแคล้ว ทำงานได้รวดเร็วและไม่อิดออด ค่อนข้างขี้เกรงใจ และไม่ต้องการออกหน้าต่อสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิน พี่นันรับหน้าที่ขับรถและเรานั่งอยู่ข้างๆ จึงมีเรื่องได้พูดคุยกันอยู่บ้าง ผิดกับพี่มูซา ชายร่างเตี้ย ที่ดูกร่ำงานหนัก ไม่ค่อยพูด อาศัยว่ายิ้มกับหัวเราะอย่างเดียว แต่ก็ไม่เกี่ยงงานเช่นกัน ทั้งคู่เป็นมุสลิม และเราเป็นพุทธ …

สิ่ง เดียวที่ทำให้เรารู้สึกต่างจากพี่นันและพี่มูซา คือ เรากินหมู และชอบกินด้วย ในขณะที่พี่ทั้งคู่จะกินแต่อาหารมุสลิม โดยคนมุสลิมทำ นอกนั้นเราไม่เห็นความแตกต่างอื่นใดอีก
ระหว่างมื้ออาหารมื้อหนึ่งที่ เรา หน้าเบ้ เพราะเบื่อและไม่เคยชินกับการกินอาหารมุสลิม พวกเครื่องแกงกลิ่นแปลกๆ พี่นันเอ่ยมาว่า “อยากกินหมูซะละมั้ง” พร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เราได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้ายอมรับหรือพูดอะไร อดทนกินต่อไป ทั้งสองวันเรากินแต่อาหารมุสลิม แทบทุกมื้อ !!!

พี่นัน เป็นคนตลก ไม่ใช่คนที่พบเจอแล้วจะปล่อยให้เขา หายไปในความทรงจำได้ ต้องได้คลุกคลีเท่านั้น ถึงจะพบ เพราะช่วงแรก พี่นันจะปฎิบัติต่อเรา เช่น เจ้านายกับลูกจ้าง ก่อนจะเป็น น้องสาวกับพี่ชาย บางครั้งเขาจะเรียกเราว่า น้องสาว… แทนชื่อ ไม่เข้าใจว่าเป็นการเรียกตามวัฒนธรรมอะไรหรือเปล่า

ระหว่าง ทางเราก็จะคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เล่าเรื่อยไปจนถึงพี่มูซา ซึ่งนั่งตากแดด ตากฝน ตากลมอยู่หลังรถกระบะ พี่มูซา เป็นคนเก่ง เขารับจ้างทำทุกอย่าง ที่มีเเรงจะทำได้ และงานประจำที่เขาทำคือ เป็นไกด์ อยู่ที่เกาะลันตา … พูดภาษาอังกฤษปรือ แต่อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ แถมมีภูมิหลังน่าสนใจตรง ไม่ใช่คนใต้แต่เป็นคนเหนือ ถ้าได้เห็นสีผิวของแก ก็จะเดาได้ว่า แกได้กลายเป็นคนใต้อย่างเต็มรูปแบบไม่ต้องสงสัยใดๆเลย ไม่ใช่ชาวมุสลิมแต่กำเนิด ได้ทำการเปลี่ยนศาสนาตอนยังเด็ก และแกก็ได้กลาบเป็นมุสลิมอย่างเต็มรูปแบบ ไม่เหลือความเป็นพุทธใดๆสักนิดเลย เช่นกัน

พอเราไปถามไถ่พี่มูซาเรื่องเกาะลันตา แกก็คุยใหญ่ บอกให้เราพาเพื่อนไปให้ได้ ถ้าเป็นเราจะลดราคาให้แน่ๆ ไม่ว่าจะนำเที่ยว หรือที่พัก เราก็อยากจะไปซะตอนนี้ … ไม่เคยเที่ยวทะเลของภาคใต้มาก่อน พอพูดแบบนั้น พี่มูซาก็รีบบอกว่า ตอนนี้ไม่ใช่น่ามัน มีพายุ เกาะปิด แกเลยเล่าไปจนถึง เหตุการณ์สึนามิที่แกได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย .. “พี่นี่ วิ่งหนีเหลือแต่กางเกงใน ไม่เหลืออะไรอีกเลย” มองเข้าไปในแววตา ทำให้เราไม่อยากจะซักไซ้ ถามไถ่อะไรอีก ได้แต่หาเรื่องเดินเลี่ยงไปซื้อกระทิงแดงมาปลอบใจ

หลังจากทำงานเสร็จ
พี่นันกับพี่มูซาเป็นคนพาเราไปส่งสนามบิน …
พี่ นันไม่ได้พูดไรมากแค่บอกว่า “โชคดีนะน้องสาว” แต่พี่มูซาสวมวิญญาณไกด์ชักชวนให้เรามาเที่ยวเกาะลันตา ในช่วงเกาะเปิดให้ได้ โอ้อวดซะเราอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ถ้าได้ไปจริงๆ ก็หวังจะได้แวะทักทายพี่มูซาเหมือนกัน

สุดท้าย ก็โบกมือร่ำลากันไปด้วยรอยยิ้มและคำแซวต่างๆนานา

เราไม่ลืมที่จะขอบคุณพวกเขา
เรา ได้ของฝากกลับมาเตือนสติตัวเองหนึ่งอย่าง คือ อย่าอารมณ์เสียเพราะงานไม่เสร็จ เพราะนอกจากงานไม่เสร็จแล้วเราจะเหนื่อยหงุดหงิดใจฟรีๆอีกด้วย

🙂

Lonely Bangbuathong

6 Jul

เรายังไม่เคยเข้าถึง ปาย เพียงแต่เคยได้แวะ ปาย เท่านั้น

เกือบสองปีก่อนมีคนๆหนึ่งรบเร้าให้เราเดินทางจากเชียงใหม่ไป ปาย ให้ได้
เพราะเขายังคะยันคะยอไม่มากพอหรือเพราะความหมด(แรง)ใจจะเดินทางตะแคงๆ ไปปาย
ทั้งๆที่เพียงสามชั่วโมงจากเชียงใหม่เท่านั้น เรากลับพุ่งดิ่งกลับกรุงเทพแทน
ปายไม่เคยมีเสน่ห์สำหรับเราอีกต่อไป และถึงตอนนี้เราก็ยังคงรู้สึกเฉยๆเป็นผลพ่วงจากเรื่องราวของเขา

ปีกว่าๆ แล้วที่เราได้เดินทางไป ปาย คราวนี้เราเดินทางเข้าปายด้วยความรู้สึกที่ต่างไป สนุกสนาน พร้อมมาตามหาเสน่ห์ ที่เขาว่ากันว่ามี อยู่ที่นี่นับหมื่นนับแสนความโรแมนติค แทบไม่แปลกใจเราไม่เจออะไร…
ถึง สะพานปายตอนบ่ายแก่ เราถ่ายรูปกับสะพานเยอะมาก นักท่องเที่ยวที่มาปายต้องได้แวะถ่ายรูปกับสะพานปายเป็นที่ระลึกแน่นอน จากที่เราเห็นบางส่วนที่บังเอิญแวะมาที่นี่พร้อมๆกับเรา ก็ทำเอาหามุม หาฉากที่จะถ่ายรูปแล้วไม่ติดคนอื่นมาในรูปยากมาก ไหนจะต้องระวังไม่ไปปรากฎหน้าอยู่ในรูปของกล้องคนอื่นอีก คนเยอะแยะแบบนี้ ไม่รู้เค้าไปหาความโรแมนติคกันตรงไหน ข้อเสียของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวคงเป็นตรงนี้ แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว แย่งกันถ่ายรูป

สิ่งที่แว้บเข้ามาให้หัวคือ เราน่าจะได้มาเที่ยวปายตอนที่ไม่ใช่ช่วงซีซั่นการท่องเที่ยวเช่นนี้

ต่อจากนั้น เราก็ได้ไปเดินตลาดยามเย็น กินข้าว และเข้าที่พัก
ตื่นมาตอนเช้าแวะทานเบรกฟ้าด(กินแบบฝรั่ง)ก็ทำให้รู้สึกว่าคุ้นเคยกะปายมากขึ้นแต่…
เพราะยังกับเดินเล่นอยู่ที่ถนนข้าวสารของกรุงเทพเลย
ยังไม่ทันสิบโมงเช้าดี เราก็ออกเดินทางจากปายสู่จุดหมายต่อไป…

แทบไม่ทันได้พูดคุยทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ก็เป็นอันว่าได้บอกลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ที่มานั่งเล่าทบทวนความทรงจำนี้ เพราะบนโต๊ะมีสมุดของฝากจากเมืองปายวางอยู่
ทั้งๆ ที่ปีนี้เรามีโอกาสได้เที่ยวปายแบบสนิทชิดเชื้อกันเลย แต่เราก็พลาดโอกาสนั้นไป ด้วยความรู้สึกยังคงเสียดายอยู่ตลอดเวลา สมุดเล่มนั้นสลักด้านหลังเอาไว้ว่า Lonely Pai

…เพียงแต่ตอนนี้ Lonely Bangbuathong มาก

เล่าให้ฟัง

6 Jul

เสียงจอแจหายไป เมื่อเราใส่หูฟังส่วนตัว เมื่อคนเรามีสิทธิ์จะเลือกเสียงที่ต้องการฟังได้ โลกนี้ก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกองและการหาเพลงเพราะๆฟังก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลยสักนิด

เรากำลังเดินบนทางฟุตบาท ใส่ Small talk ของโทรศัพท์ เราไม่ได้แตะ Ipod มาหลายเดือนแล้ว หลังจากเจ้า Ipod แกล้ง เดี้ยงให้เรารักษา แต่เราก็ยังไม่ได้พาไปรักษาสักที เราจึงใช้โทรศัพท์แทนเครื่องเล่นเพลง และเมื่อชินๆ เข้าก็รู้สึกสะดวกกว่าการพก Ipod เครื่อง โทรศัพท์เครื่อง แม้จะคิดถึงเจ้า Ipod บางครั้งแต่ก็ยังอดทนได้จนทุกวันนี้

ความ จำโทรศัพท์ของเราสามารถใส่เพลงได้ประมานสิบเก้าเพลงดังนั้น สิบเก้าคูณเวลาโดยเฉลี่ยของความยาวเพลงทั่วไป จะได้ประมานห้าสิบเจ็ดนาที ในการเดินทางจากบ้านเราไปจุดหมายเอ จะใช้เวลาประมาน สี่สิบห้านาที และจากจุดหมายเอไปจุดหมายบีอีกสิบห้านาที จากจุดหมายบีไปจุดหมายซีอีกราวๆยี่สิบนาที รวมแล้วเราใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปสู่จุดหมายซี ซึ่งเป็นจุดหมายหลักราวแปดสิบนาที ดังนั้น ในยี่สิบสามนาทีสุดท้ายของการเดินทาง เราจะได้ฟังเพลงซ้ำ…

แม้สิบเก้าเพลงจะเป็นเพลงที่เราคัดสรรแล้วเป็นอย่างดีถึงดีที่สุดเท่านั้น แต่เราก็ยังใช้ปุ่ม Next อยู่ เรื่อยๆ ตามอารมณ์และจังหวะการก้าวเดิน เราชอบช่วงเวลาจุดหมายบีถึงจุดหมายซีมากที่สุด ระยะทางนี้เราจะเดิน ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ หากวันไหนเร่งรีบเราจะนั่งมอไซค์ เรามักหอบของพะรุงพะรัง บ้าหอบทุกสิ่งอย่าง แต่ก็ยังจะอยากเดิน ค่อยๆเดิน จนกว่าจะถึง พร้อมเปิดเพลงจากโทรศัพท์ให้ดังขึ้นอีกนิด ไม่งั้นเราจะได้ยินแต่เสียงรถรางกลางกรุงแทน ข้อเสียของการเปิดเพลงดังมากไปคือ เราเคยเดินดุ่มๆ ของเราไปตามทาง แต่แล้วก็มีมอไซค์รับจ้างที่ขึ้นมาขับบนทางเท้า ขับผ่านเราไปใกล้เสียจนเราตกใจ บางครั้งเราโดนดุอีกด้วย แต่ว่า มันเป็นทางเท้านะ เราเลยไม่เลิก ไม่ใส่ใจจะเปลี่ยนแปลงการฟังเพลง แต่เปลี่ยนเป็นเดินเบียดติดกำแพงแทน

เรากำลังเดินบนทางฟุตบาท ใส่ Small talk ของ โทรศัพท์ เราต้องผ่านตึกเก่า เดียวดายอยู่ตึกเดียว ในขณะที่เพื่อนๆของมัน(ตึกข้างเคียง) ต่างโดนทุบทิ้ง ยังคงเห็นเศษอิฐ เศษปูนเป็นซากปรักหักพังอยู่ บางครั้งเราเห็นฝรั่งยืนถ่ายรูปคู่กับมัน บางครั้งมันก็ให้ร่มเงาแก่คนจรจัด เราสงสัยว่าเหตุผลใดที่ทำให้มันยังคงตั้งอยู่ มันไม่ใช่ตึกที่จะใช้งานได้อีก โครงสร้างบางส่วนก็ดูเหมือนจะถูกทุบไปบ้างแล้วด้วย แถมมีกราฟฟิกตี้ตามเรือนร่างของมันอยู่ไม่น้อย เราเดินผ่านพร้อมคิดว่า หากเช้าวันหนึ่งวันใด มันหายไป เราก็คงจะคิดถึงมันเหมือนกัน เราชอบคิดถึงทุกสิ่งอย่างที่เคยผ่านเข้ามาใส่ความรู้สึกนึกคิดของเรา จนบางครั้งมันก็ดูไม่มีสาระอันใดเลยด้วยซ้ำ

เรากำลังเดินบนทางฟุตบาท ใส่ Small talk ของโทรศัพท์ ขณะนี้เพลงโปรดเรากำลังบรรเลง ความหมายดีจนเราประทับใจ ฟังกี่หนก็มีแรงฮึดอย่างประหลาด อดทนเวลาที่ฝนพร่ำอย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง ขณะ นั้นเรามองเห็นชายชราจรจัดคนหนึ่ง วางสัมภาระลงกับฟุตบาท เดินไปหาพุ่มไม้ และถอดกางเกง เราเร่งฝีเท้าผ่านไปอย่างไม่หันกลับไปพิสูจน์ว่า เขาทำกิจธุระอันใด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ประเทศเรามีห้องน้ำสาธารณะสำหรับคนจรจัดไหมนะ หากมีก็คงไม่เพียงพอแน่ๆ และความจริงโลกเราก็ไม่ได้ใจกว้างให้กับทุกคนเท่าๆกันหรอก เพราะผ่านมาเพียงไม่กี่ก้าว มีห้างๆหนึ่งเปิดอยู่ หากมีความยุติธรรมจริงๆ ชายชราคนนั้นก็คงสามารถเดินเข้าห้องน้ำที่นี้ได้ เรามองจนเห็นภาพว่า คุณรปภ.ก็คงห้ามไม่ให้เข้าแน่ๆ เนื่องจากเขาไม่ใช่ ท่านผู้มีอุปการะคุณ … ใดๆต่อห้างนั้น แต่หากเป็นเรา เดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ เชิดๆ ว่าฉันมันคนปกตินะ เขาก็ให้เราเข้าไปได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เดินเข้าห้องน้ำแล้วเดินออกมา ทุกอย่างก็ยังคงปกติ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอุปการะคุณใดๆเช่นกัน

เรากำลังเดินบนทางฟุตบาท ใส่ Small talk ของ โทรศัพท์ อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายหลักแล้ว ช่วงเวลานี้เราจะเร่งฝีเท้าไม่มีอะไรที่ควรจะให้อ้อยอิ่งนัก และแล้วเราก็ถึงจุดหมายสักที เพลงที่บรรเลงมาถึงตอนนี้ กลับมาคิดดู เราใส่หูฟัง แต่ไม่ได้ฟังอะไร เพราะมัวแต่คิดไปถึงสิ่งนั้น สิ่งนี่ตลอดทาง …

สิงค์โปร 53_02

1 Jul

29-05-53

วันที่สอง…

แม้อยากจะข่มตาหลับต่อไปให้นอนอีกนิด เราก็แข็งใจเลิกผ้าห่มออก ลุกเดินต้องเข้าห้องน้ำ ไม่อยากเสียเวลาที่ต่างแดนไปสักวินาทีเลย พอทุกคนตื่นก็อาบน้ำ เมื่อพร้อมก็ออกเดินทางไปโลด จุดหมายวันนี้คือ  ยูนิเวอร์แซล สตูิดิโอ สิงค์โปร (Universal Studios SG)  พวกเราเดินทางโดยรถเมล์บ้านเขา ซึ่งไฮโซกว่าบ้านเรานัก ไม่มีกระเป๋ารถเมล แต่มีบัตร eazy pass พอเราเดินผ่านช่องสเเกนก็จะตัดค่าเงินในบัตรเหมือนว่าเราจ่ายตังค์นั่นเเหละ (แล้วการที่ขึ้นมาโดนไม่ ติ๊ดๆ สเเกนบัตรเข้า-ออก เหมือนการพยายามโกง ถ้าเราเผลอไปขึ้นอีกมันจะตัดเงินเราทันทีกับรถเมลคันต่อไป)  นั่งรถเมล์กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เราก็ไปลงป้ายที่ห้าง Vivo ก่อนลงรถเมล์ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาสะกิดไหล่เราถามว่า “Madame, Next station is Vivo right?” เรางงๆเอ๋อๆ แต่ก็หันไปตอบว่า “ํํYes” แล้วคุณป้าก็หันไปบอกกับพวกพ้องว่า ” นี่ไงเขาบอกว่าป้ายหน้าอ่ะ ใช่ Vivo” เรางี้ตกใจเลยทำไมเข้าใจทุกประโยคที่คุณป้ากล่าวแจ่มชัดขนาดนั้น ก่อนสติจะมาแล้วถามไปว่า “คนไทยหรอคะ” เขาหันกลับมา “อ่าว คนไทยหรอ” แล้วก็ฮากันใหญ่

เราลงรถเมล์เดินระยะไม่ไกลมาไปต่อ Sky train ที่สถานี Sentoza แต่ว่า พวกเราตัดสินใจแวะทานข้าวเช้าที่ศูนย์อาหารตรงข้ามห้าง Vivo โดยหัวหน้าเเก็งค์เรามีความหลังส่วนตัวกับร้านข้าวขาหมูที่นี่ เขาคุยโว้ว่ามันอร่อยเหาะรสเด็ด แต่แล้ว ร้านกลับปิด เราเสียดายไม่น้อย เพราะได้ยิน(จากหัวหน้าเเก็งค์)มาเยอะ ว่าอร่อยนักหนา เลยจำใจไปสั่งข้าวมันไก่อาเเปะร้านข้างๆมากินแทน ศูนย์อาหารนี้หากกราดสายตา จะเเบ่งโซนออกเป็นคนจีนกับคนแขกอย่างชัดเจน คนแขกจะนั่งมุมหนึ่งเป็นกลุ่มแก็งค์ ไม่ข้องแวะกับคนจีนเท่าไหร่ ไม่รู้ว่า โดนแบ่งแยกวรรณะอะไรกันหรือไม่อย่างไรต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม…

จากศูนย์อาหารเราเดินไปยัง สถานี Sentoza ระหว่างทาง จะเห็นวิวทะเลที่มีเรือขนส่งสินค้าจอดเรียงรายจำนวนมาก เมื่อถึงสถานีเราก็จัดเเจงซื้อตั๋วค่าเข้า Sentoza จำนวน 10 usd และตั๋วค่าชมโชว์ Song of the sea – 10 usd และเมื่อเรานั่ง sky train เข้าไปใน sentoza แล้วการคมนาคมสาธารณะในนั้นจะฟรีหมด รถเมล์ เรือ รถไฟ เป็นสวัสดิการหลังจากเสียค่าเข้าเมืองไปแล้ว

พวกเราไปลงที่ Univesal studio คนเยอะแยะมากมายมาก จนเราเวียนหัว เจอสถานการณ์เเย่งกันกิน แย่งกันเล่น แย่งกันเดิน  มาทราบที่หลังว่า วันนี้เป็นวันครอบครัวของประเทศเขา และชนชั้นแรงงานจะได้ตั๋วเข้าฟรี ไม่แปลกใจเลย เราเจอแต่คนเชื้อชาติอินเดียเป็นส่วนใหญ่  พอก้าวขาผ่านเครื่องยื่นตั๋วแล้วเราก็โดนประทับอะไรบางอย่างที่สายตาเปล่ามองไม่เห็นไว้ที่เเขน ก็เห็นฉากหนัง Hollywood มากมาย มีร้านยูนิเวอร์เเซล สโตร์ ขายของที่ระลึก เรารีบตรงเข้าไปเยี่ยมๆมองๆว่าจะสอยอะไรกลับบ้าน ไม่พ้นพวกแก้ว ถ้วย ที่ลายน่ารักๆ ชอบๆ ถูกใจหลายชิ้น แต่พอคว่ำแก้วลง ก็อ่านเห็นว่า Made in Thailand ซะหมด ใจหนึ่งก็เป็นไงล่ะ ๆ ไทยเเลนด์สู้ๆ อีกใจหนึ่งก็ ชั้นมาทำอะไรที่นี่ … พอเล็งๆไว้ก็ออกไปถ่ายรูปโช๊ะเเช๊ะตามฉากต่างๆไปเรื่อย การถ่ายรูปกับฉากก็แทบจะหมดเวลาแล้ว

เราเดินลัดเลาะถ่ายรูปไปจนถึงโซนนิวยอร์ก มีโชว์ Light Camera Action! เป็นโชว์ที่สนุก เร้าใจ เสมือนจริง และมีเสียงหัวเราะครั้งคราว… สักพักสายตาก็ไปจับที่ รถไฟเหาะรางคู่ ตรงดิ่ง กลั้นใจเลยเป็นตายร้ายดียังไงก็ขอลองสักตั้ง ตั้งใจยังไม่ทันจะเสร็จก็เหลือบไปเห็นว่า ปิด อีก … เราเริ่มเซ็ง เลยจัดเเจงถ่ายรูปกับพวกมันเป็นที่ระลึกแทนแล้วเดินต่อไปยังโซน อียิปต์โบราณ Ancient Egypt เรารีบวิ่งเเจ๋นไปต่อคิวจะเล่นเครื่องเล่น ชื่อว่า Revenge of The Mummy คิวยาวมาก ยาวม้วนตัวเเออัดกันอยู่ภายในโครงสร้างแบบอียิปต์จำลอง คิวยาวและนานมาก จนอยากจะไปเขียนด่าในเว็บไทยว่า “ไม่ต้องมาเล่นกันหรอก” ระหว่างรอ ได้ยินเสียงกรี๊ดๆจากคนที่กำลังเล่นเครื่องเล่นอยู่เป็นระยะๆ พวกเราเข้าเเถวกันสี่คน ทิ้งหัวหน้าเเก็งค์ผู้ชายเพียงคนเดียวเเบกหามสัมภาระและเฝ้าของไว้ด้านนอก เมื่อถึงคิวก็พอดีกับที่นั่งต่อรอบที่ให้ขึ้นได้ 4 คน ต่อ 1 เครื่อง เมื่อได้เล่น… ความรู้สึกมันส์มาก สนุกมาก เเสงสีดีเยี่ยม ความรู้สึกตื่นเต้นปะปนไปกับตื่นตาตื่นใจ แยกเเยะอารมณ์ไม่ค่อยจะออก รู้แต่ว่า จะไม่ไปด่าเรื่องต่อแถวในเว็บบอร์ดไหนแล้วเพราะ คุณยืนต่อคิวยาวๆไปเถอะ ยังไงซะ มันก็คุ้มแก่การรอคอยมาก หลังจากลงจากเครื่องเล่นนี้ พวกเรายังตื่นเต้นสนุกไม่หาย คุยไปหัวเราะไป ออกมาถ่ายรูปกับเก้าอี้เป็นที่ระลึกอีกด้วยนะ – -”  หมดแรงไม่น้อยจึงแวะทานกลางวันกันในศูนย์อาหาร ก๋วยเตี๋ยวชามโตเรียกกำลังวังชาจากเรากลับมาอีกหน ต่อจากนั้น เรามาถึงโซนจูลาสิค พาร์ค The Lost World พวกเราไม่หวังจะต่อคิวอีกต่อไปแล้ว จึงขอผ่านโดยพร้อมเพรียง ไปโซน Far Far away นั่งชม Shrek 4-D adventure สนุกสนานน่ารักๆ แทนดีกว่า ต่อจากนั้นก็เดินถ่ายรูปเก็บตกไปเรื่อยๆ จนได้เวลาที่พวกเราจะออกจาก Universal มุ่งหน้าไป ชมโชว์ Song of the sea

เราไปถึงจุดเเสดงก่อนเวลาประมาน 3 ชั่วโมง เรานั่งกินลมชมวิวจนกลายเป็นนั่งๆนอนๆชมลมชมวิวก่อนที่จะดูไร้สาระกับการหมดเวลาไปกว่านั้น เราส่งหัวหน้าเเก็งค์ (ผู้ตีเเตกทุกแห่งหนในโลกใบนี้) ไปเจรจา เลื่อนตั๋วชมการเเสดงนี้ ไวขึ้นหนึ่งรอบเวลา คุยไปคุยมา พวกเราจึงได้เลื่อนให้ไวขึ้นจริงๆ ก่อนเวลาเดิม เป็นชมได้ในรอบถัดไป ไม่เคยเสียใจที่ปล่อยหัวหน้าเเก็งค์ไปจัดการเรื่องจำพวกนี้เลยจริงๆ

เมื่อการเเสดงเริ่มขึ้น แสงสีเสียงต่างๆนานาที่เห็นก็เเสดงความแปลกใหม่แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตาอะไรมากนัก มีนักเเสดง(ซึ่งเป็นคนจริงๆ) ผสมปนกับเทคนิคคอมพิวเตอร์และการ์ตูนไหนจะการจัดเเสงสีบวกเสียงเข้าไปอีก แม้จะไม่เคยได้เห็น แต่ก็ไม่ตื่นตา พอโชว์จบ พวกเราเดินทางออกจากเซ็นโตซ่า เพื่อมาหาอาหารรับประทานกันในเมืองหน่อย ระหว่างทางที่เรานังรถบัสไปหาอะไรใส่ท้องกิน เราพบว่า คนสิงค์โปรกำลังนั่งชมหนังกลางเเปลงอยู่ที่หน้าพิพิทธภัณฑ์สถานเเห่งชาติ(ชาติเขา) หน้าตาดูมีความสุข อยากกระโดดลงจากรถไปนั่งดูด้วยแต่ก็ทำได้แค่คิดว่า “พรุ่งนี้จะลองมาเดินเล่นตรงนั้นดู”

คืนที่สองผ่านไปไวเหมือนโกหก ด้วยฤทธิ์ ขวดไวน์ที่มีเเถมไว้ให้ในห้อง พวกเราจัดการจนเกลี้ยงและหลับไหลไปในที่สุด

สิงค์โปร 53_01

29 Jun

ได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่คนหนึ่ง จนคันไม้คันมืออยากจะเล่าเรื่องซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว อยากรู้ว่าตัวเองจะรื้อฟื้นความทรงจำออกมาได้แค่ไหน เรามีตัวช่วยเป็นสมุดพกเล่มเล็กสีชมพู ที่ไว้จดบันทึกตอนเดินทางครั้งนั้น เอาละ เริ่มกันเลย…

ก่อนบิน… ศอฉ.ได้ประกาศเคอฟิว(Curfew) แบบไม่แคร์ฟิว (Feel) คนที่กำลังจะไปเที่ยวเลย ดังนั้น เย็นวันศุกร์วันทำงานวันสุดท้ายก่อนจะหนีเที่ยวกัน เราต้องกลับบ้านไปเอากระเป๋าซึ่งยังไม่ได้ัจัด เพื่อมานอนบ้านเพื่อนร่วมทริปและขับรถไปสนามบินสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่วันเสาร์ (เเผนการออกมาแบบนี้เพราะกลัวว่าจะยังไม่มีเเท็กซี่วิ่งตอนเช้าด้วยประกาศเคอฟิว) และเย็นวันศุกร์ก็เหมือนทุกๆศุกร์ งานเยอะ เรื่องแยะ กว่าจะจัดการให้ตัวเองได้ไปเที่ยวอย่างเป็นสุขเป็นสุขตลอดสามวัน ก็เล่นเอาล่วงเวลางานไปเยอะเลย ออกจากออฟฟิศแถวลาดพร้าวกลับไปบ้านแถวบางบัวทองจึงเป็นอะไรที่น่าหนักใจว่า จะทันไหม เพราะต้องวกมานอนบ้านเพื่อนร่วมทริปแถวประชาชื่น อะไรมันจะช่างวกไปวนมาขนาดนั้น สุดท้าย เราก็แบกกระเป๋ามานอนบ้านเพื่อนได้ทันก่อนเวลาเคอฟิวไปสิบนาทีโดยพี่แท๊กซี่ เราก็ยังงงๆว่า พี่่คะ พี่ส่งหนูเสร็จแล้ว สิบนาที ที่เหลือพี่กลับบ้านทันเหรอเนี้ย … พี่แท๊กซี่ยิ้มแย้มบอกว่า “ทันนะ ทัน” ก็ถ้าพี่ทันหนูก็ดีใจด้วย

28.05.2553

กำลังจะบิน…พวกเราออกจากบ้านมาพร้อมกันทั้งหมด 5 ชีวิต แต่ว่าจะเเบ่งเเยกวรรณะการบิน ออกเป็นพวกร่ำรวย 3 คน บินเเพงกว่า กับพวกกระเสือกกระสนอยากเที่ยวอีก 2 คนที่บินถูกกว่ามาก เนื่องจากเป็นการบินออกนอกประเทศครั้งแรกของกลุ่มกระเสือกกระสนอยากเที่ยว พี่ๆร่ำรวยจึงพาสองสาวไป check in ก่อน แล้วที่ดูจะซวยๆ คือ พวกนี้ต้องบินไปถึงสนามบินที่นู่นก่อน ดังนั้น จะไม่มีไกด์นำทางอะไรเลยนอกจาก พึ่งตนเอง ที่พร่ำมาทั้งหมด เราเป็นหนึ่งในสองสาวกลุ่มนี้เอง ฮ่าฮ่า เดินไป Check in แถวสั้นนิดเดียวเพราะเราไม่ Load กระเป๋า อาศัยฝากไปกับพี่ๆร่ำรวยซึ่งสายการบินของพวกเขา Load กระเป๋าฟรี ต่อจากนั้นก็เดินไปรอที่ Gate อารมณ์เหมือนมีพ่อ-แม่-ญาติ เดินมาส่งเพราะพี่ๆกลุ่มร่ำรวยดูจะเป็นห่วงเป็นใยน้องๆเป็นพิเศษภาพที่เห็นเลยดูตลกๆ มีการซ้อม การนัดเเนะ เชคโทรศัพท์ พร้อมให้อาหารพกไปรับประทานระหว่างทาง (-.-“) พอพี่ๆกลุ่มร่ำรวยร่ำลาพวกเราที่ Gate เรียบร้อยก็ต้องไป Check in ของตัวเอง พวกเราก็นั่งมองตากันปริบๆ ทุบหม้อข้าวโดนหยิบขนมที่พี่ๆมอบไว้ให้มานั่งกินกันให้หมดซะที่นี้ หากหนทางข้างหน้าหิว ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ในต่างเเดน … (เว่อร์จริงๆ ไฟท์ของพี่ๆจะไปถึงช้ากว่าแค่ 40 นาทีเท่านั้น)

เอาละ รถบัส มารับพวกเราไป เพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินจริงๆซะที ระหว่างอยู่บนรถบัส เราพบชายหนุ่มสะดุดตา เท่ๆ สะพายเป้ ไว้เครานิดๆ ดูมั่นใจๆ การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเขาเลย แต่เค้าเป็นคนที่เราบันทึกเอาไว้ในสมุดจนต้องขอเอ่ยถึงเล็กน้อย (ตอนนี้จำหน้าจำตาไม่ได้แล้ว คราวหน้าถ้าพบใครถูกอกถูกใจจะบันทึกรายละเอียดทั้งหมดเลย) พอขึ้นเครื่องได้ปับ เราก็หลับปุบ หลับๆ ตื่นๆอยู่สักพัก ก็เริ่มมีเรื่องให้คนบ้านนอกๆ ตื่นตัวคือ เขียนใบขอเข้าประเทศ … แม้จะมีการนัดเเนะบางส่วนจากพี่ๆผู้ร่ำรวย แต่พวกเราสองคนก็เกิดการมึนงงกันเองอยู่พักใหญ่จนต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งใจดีมาก หยิบของเขามาให้เราลอก เราก็ลอกให้ข้อที่ทำไม่ได้ด้วยความเคยตัว จนกรอกเสร็จก็โล่งอก ขอบคุณเขาไป เขียนเสร็จก็ไม่วายจะหลับต่อ สักพักเขาก็ประกาศว่าจะุลงจอดแล้ว พอได้ยินตื่นเต้นมาก แต่แสร้งทำไปว่าไม่ตื่นเต้นอะไรเลย พอลงเครื่องปับเราเดินตาม ชายหนุ่มเท่ๆที่กล่าวถึงคนนั้น อย่างเป็นจริงเป็นจัง หลังประชิด แต่สุดท้ายก็คลาดกัน แล้วก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย เราเดินผ่าน ต.ม. ของสิงค์โปร เราไม่กลัวหรือตื่นตระหนกอะไรเตรียมตัวว่าจะต้องได้ตอบอะไรสักคำสองคำก็ไม่ต้องตอบ แค่มองตามองหน้าแล้วเดินผ่านไป พอเสร็จจากตรงนั้น เราก็ตรงดิ่งไป Information สอบถามกันแล้วว่า มี Information อยู่ที่เดียว จึงเลือกเป็นจุดนัดพบกับพี่ๆร่ำรวยที่กำลังจะมาถึงโดยส่งข้อความไปบอกที่นัดหมาย

พอมาครบกันหมดแล้ว เราเลือกทางออกจากสนามบินไปโรงแรมโดยการ นั่งรถ Benze ของสนามบินราค50usd  (หากคำนวน 50usd/5person ตกคนละ 10usd ดังนั้นเงินไทยตอนนั้น 10*23 =23baht. ก้าวเเรกที่ใช้เงินสกุลอื่นก็รู้สึกว่า โดนเอารัดเอาเปรียบแล้วเพราะว่ามันใกล้แค่นั้นเอง)  พวกเราก็นั่งรถเท่ๆกินลมชมวิวไปตลอดทาง ก่อนที่จะโดยปล่อยไว้ที่ Suntec Tower และปล่อยให้อีกกลุ่มไป Check in เข้าโรงแรมให้ พวกเราพักที่ Mandarin Oriental ระหว่างรอพวกเราก็ไปเดินเล่นใน Suntec Tower ก็เหมือนห้างธรรมดาไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจเลย เราออกจะเซ็งๆแต่ก็นะ พอหิวแล้วก็เลยหาอะไรกินในตึกนั้นไปเลย เราออกจะอยากทำอะไรๆในต่างเเดนคนเดียวเลยเดินลุยไปสั่ง Noodle … อาเจ้ก็สวนกลับมาว่า “นูเดิ้ลอะไรล่ะ” (เป็นภาษาอังกฤษ ปนจีน) เราก็งงงวยใกล้ตายอยู่หน้าร้านบะหมี่เป็ดย่าง ในที่สุดก็คว้าเมนูขึ้นมาแล้วจิ้มไปที่ภาพที่ราคาต่ำสุด “เอาอันนี้ล่ะ” โอเค ได้รับประทานสมใจยาก ได้เส้นเยอะมาก เป็ดเเข็งมาก รสชาดธรรมดาจืดชืด  เข้าใจนะ เพราะมันก็เป็นเพียงเเค่อาหารตามฟู้ดคอร์ทบ้านเราเอง ไม่อร่อยถูกปากแต่เรากินหมดเรียบทุกมื้อเสียดายตังค์ พอกินอิ่มที่ต่อไปที่จะไปเยี่ยมชมคือ ห้างมุสตาฟา

เมื่อจะเดินทางไปมุสตาฟาเราเริ่มตื่นตัว ต่อมอยากรู้อยากเห็น เริ่มกลับมาทำงานอีกหน หลังจากโดนปิดเพราะเดินอยู่ในห้างที่มันเหมือนห้างบ้านเราเสียจนรู้สึกได้ว่า เราจะบินมาไกลทำไมว่ะเนี้ย ห้างมุสตาฟาเราก็ไม่ได้สนใจเท่ากับย่าน Little india ซึ่งมีสถานที่สำคัญเป็นวัดแห่งหนึ่งที่น่าไปเยี่ยมชม **(การเดินทางไปมุสตาฟา เราเดินทางไปโดย MRT ซื้อบัตร Ezy link ซึ่งเป็นบัตรเดินทางที่ง่ายๆตามชื่อ ไม่ว่าจะเดินทาง MRT หรือ Bus เราก็สามารถใช้บัตรนี้บัตรเดียวเดินทางได้หมด ซื้อบัตรขั้นต่ำ 15 usd มีระยะเวลาการใช้งาน 5 ปี ค่ามัดจำบัตร 5 usd) เมื่อถึงย่านลิตเติ้ลอินเดีย เราได้กลิ่นอายสมกับชื่อย่านมีคนอินเดียเต็มไปหมด คนจีนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ห้างมุสตาฟาที่ว่าก็เป็นตึกเก่าๆไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ จัดจำหน่ายเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูก (ของcopyด้วย) ระหว่างทางเดินเราพบว่า มีร้านขายมะพร้ามอ่อนเป็นลูกๆ เฉาะกินสดๆอยู่เป็นระยะๆ สงสัยว่าชาวสิงค์โปรจะชอบกินน้ำมะพร้าวอยู่ไม่น้อย เราไม่ได้ลองชิมเพราะไม่กล้าได้แต่ไปยืนดูเขาซื้อเขาขายกัน พอเห็นว่าทุกคนดูจะใช้เวลาเสาะหาอะไรบางอย่างในห้างมุสตาฟาอยู่พักใหญ่เราจึงขอตัวไปเดินดูอะไรตามลำพัง ซึ่งโดนอิดออดสักพักจากหัวหน้าเเก็งค์ ก่อนจะยอมเพราะเราบอกว่า “จะเดินไปซื้อน้ำตรงนั้นเองคะ” พอหลุดจากกลุ่มมาได้ เราเดินย้อนผ่านร้านมะพร้าว เข้าไปใน Seven ถามทางเด็กเชื้อชาติจีนคนหนึ่ง “จะไปวัด Sri Srinivasa Perumalที่ตั้งอยู่บนถนน Serangood ได้อย่างไร” ขนาดว่าเราเอาเเผนที่มากางดูกันเลย แต่อาหมวยก็ส่ายหัวไปมา ประมานว่า “หมวยก็ไม่ใช่คนแถวนี้เหมือนกัน” เราเลยดุ่มๆเดินเอง ผ่านเเยกนั่นเลี้ยวนี่ จนเหนื่อยหอบก็ยังไม่เจอ เริ่มเหนื่อยเลยเดินกลับมาที่ห้างมุสตาฟา กลัวโดนหัวหน้าเเก็งค์ดุ พอเรามาถึง พวกเราก็เคลื่อนย้ายไปถ่ายรูปกันที่ Merge Lion

Merge Lion เป็นสัญลักษณ์ของสิงค์โปรเลยทำให้เป็นสถานที่ฮิตมาก ผู้คนที่มาเที่ยวที่นี่ต้องมาถ่ายรูปกับสิงโตทะเลตัวนี้ เพื่อยืนยันว่า ฉันมาถึงแล้วนะยะ ย่านนี้มีสวนสาธารณะ ลมเย็นสบายๆ เดินเล่นได้ยาวๆ พวกเราเดินกลับโรงเเรมจากจุดนี้เพราะสามารถเดินได้ ระหว่างทางเราเสียเงิน 1usd ไปให้กับไอติม รสมิ้นท์ ที่ใช้ขนมปังประกบไอติมไว้

เมื่อถึงโรงแรม เราล้างหน้าล้างตา นั่งพักจัดข้าวจัดของ พักหายใจก่อนจะออกเดินไปถ่ายรูปที่ Singapore flyer แล้วก็ไปชมน้ำพุแห่งความมั่งคั่งที่หน้าตึก Suntec มีการโชว์เเสงสีเสียงสวยงาม เราสามารถส่งข้อความไปให้เขาฉายขึ้นด้วยนะ เราไปนั่งอ่านมามีประมานว่า สุขสันต์วันเกิดนะ / ฉันรักเธอ … อะไรทำนองนั้น พอจบโชว์ก็มืดค่ำชวนหิวอีกรอบแล้ว พวกเราก็ไปกิน Burger king ตามมีตามเกิดในห้างอีกหน

หัวหน้าเเก็งค์หลังจากมาส่งพวกเรากลับโรงแรมก็ทำท่าทางลับๆล่อจะออกไปข้างนอกอีก พอเราถามไปปับได้ความว่า อยากจะไปเสี่ยงโชค แน่นอนว่าได้ยินดังนั้น เรายกมือ ขอไปด้วยแทบจะทันที เราเดิน(อีกแล้ว) ไปตรงจุด Marina Bay Sand ซึ่งยังเปิดตัวไม่ครบทุกจุด(แต่ส่วนที่เป็นCasinoก็เปิดให้เข้าเสี่ยงโชคกันได้แล้ว เราลองเล่นรูเล็ตตามหัวหน้าเเก็งค์ เเทงตามเขาบ้าง ไม่ตามเขาบ้าง ผลสุดท้าย เสียเงินที่แลกมาน้อยนิดนั้นไป ก็ไม่คิดมากเพราะได้มาเดินเล่นในนี้ก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว เพราะมันใหญ่มาก ดูมั่วสุมโดนปีศาจการพนันครอบงำกันซะส่วนใหญ่ เราเดินยังไม่ทั่วเลยก็เหนื่อยขอตัวกลับไปนอนดีกว่า ปล่อยให้หัวหน้าเเก็งค์ใช้ความอดทนบวกกับสมาธินั่งเเทงกักรูเล็ตต่อไปลำพัง ระหว่างเดินจากcasino กลับโรงเเรมไม่น่ากลัวเลย เเสงสีตลอดทาง เป็นย่านคนเมืองที่ไม่ได้ป่าเถื่อนอะไร ได้เห็น Singapore flyer และ Merge lion ตอนกลางคืนก็สวยงามไปอีกแบบ…

พอกลับโรงแรม เราอาบน้ำและนอนเป็นตายไปเลย

อดทนเวลาที่ฝนพร่ำ …

25 Feb

คำตอบ

15 Nov

เราต้องผ่านแม่น้ำทุกวัน

ภาพที่เห็น ตอนเช้าพระอาทิตย์กำลังขึ้น แสงสีทองอมส้มจะทอประกายอยู่ลิบๆขอบฟ้า แม่น้ำก็สะท้อนแสงระยิบระยับ เราจึงมองเห็นแม่น้ำได้ชัดเจน บางวันมีผักตบชวาหนาแน่น และบางวันก็มีเรือหางยาววิ่งวุ่น บางครั้ง เรือขนทรายลำใหญ่ก็ลอยลำค่อยๆเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ เราชอบภาพเรือขนทรายลำใหญ่ ถูกลากจูงโดยเรือไม้ที่ลำเล็กกว่ามาก ค่อยๆเคลื่อนตัวไปทีละน้อย เราเคยเห็นคนงานบนเรือขนทราย ถึงขั้นอาบน้ำอาบท่ากันข้างๆเรือ ด้วยความเร็วที่ช้ามากจึงแทบไม่มีผลต่อการดำรงชีวิตของพวกเขา

ถ้าไม่นับวันลอยกระทงแล้ว โดยทางตรง ความข้องเกี่ยวระหว่างเรากับแม่น้ำมีค่าแทบเป็นศูนย์ ถ้าเราเห็นแม่น้ำเราจะนึกถึงสิ่งที่ต่อเนื่องไม่กี่อย่าง เรานึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทาง(แม่)น้ำ ก็แม่น้ำที่เราต้องผ่านทุกวันนี่ล่ะ , เรานึกยาย ที่ชอบบอกว่าแม่น้ำสายนี้(เจ้าพระยา) เคยแห้งขอดจนเดินข้ามฝั่งได้เลย ,  เรานึกถึงของรักที่คนมักชอบมาขว้างทิ้งไว้ …อย่างเพลงฮิตเมื่อสิบปีก่อน

การคิดอะไรเพลินๆเกินไป ก็ทำให้เรานับสิ่งนี้ ปะติดเป็นสิ่งนั้นจนหาจุดเริ่มต้นของความคิดแรกไม่เจอ
และความคิดบางความคิดก็ไม่ได้มีความหมายอะไรให้พูดถึง เช่นกัน บางความคิดก็นำพาเราเจอ คำตอบ ของคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบด้วยซ้ำ

เช่นเราเกริ่นเรื่องด้วยแม่น้ำ ก็ขอโทษที่คงไม่ได้จบเรื่องที่ทะเล อย่างเช่นสายน้ำทุกสายจะไหลไปรวมกันที่ทะเล เค็มๆ
เราคงไม่ได้ไปจบเรื่อง ที่ท้องฟ้า หรือสายฝน เพราะณ ตอนนี้เราไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นสักนิด

แม่น้ำเจ้าพระยาที่กระทบแสงแดดระเรื่อๆ ในเวลาเช้า
พาให้เรานึกถึง เมล็ดพริกที่กำลังแตกยอดอ่อน ในกระบะดินสำหรับเพาะเมล็ดโดยเฉพาะ เราอยากลองกินเม็ดพริก และอยากจะรู้ว่ามันจะเม็ดสีเขียวหรือเม็ดสีแดง อยากรู้ว่ามันจะผลิดอกออกผลมากจนเรานำไปฝากคนอื่นๆได้หรือเปล่า และอยากรู้ว่า รสชาติมันจะเผ็ดผิดเเผลกไปจากพริกคนอื่นๆไหม … ต่างๆนานา เพียงแค่ได้เห็นยอดอ่อนนั้น

และยอดอ่อนนั้น มันพาให้ใจล่องลอยไปถึง กระเพรา
ทุกวันนี้เราสั่งกระเพราเป็นอาหารตามสั่งมาหลายมื้อ สิ้นคิดแต่ยังคงถูกปากจนยกให้ แล้วไข่ดาวก็มาช่วยประดับจาน เพิ่มคุณค่าให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก คิดจนท้องส่งเสียงประท้วงเบาๆ น้ำลายก็เริ่มสอๆ อยากกินกระเพรา เรารีบเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง สะบัดหัวแรงๆหนึ่งครั้ง

หน้าเธอก็ลอยมา

ไม่ว่าแม่น้ำจะขึ้นจะลง ไม่ว่าต้นพริกจะถือกำเนิดขึ้นมาหรือเปล่า แล้ววันนี้เราจะกินอะไรเป็นอาหารตามสั่ง

สุดท้ายแล้ว เป็นอันว่าเราคิดถึงเธอแทบทุกทีเลยสิ

 

 

 

I’m always here…

15 Nov

สัญญา

ยังอยู่ในใจเสมอ  : )

ถ้วยเปล่า…

8 Sep

เราไม่เคยดูหนังของบรูซ ลี มาก่อน แต่ถ้าเฉินหลงละก็ เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว หนังกังฟู เตะ ต่อย เหาะ เหิน ตีลังกา นั่งดูไปก็ลุ้นระทึกไป  อะไรจะเก่งเกินมนุษย์มนาขนาดนั้น เรามาได้ยินชื่อของ บรูซ ลี ก็เพราะเฉินหลง หลายคนบอกบรูซ ลี เป็นตำนานกังฟู และเราเคยผ่านตากับโปสเตอร์ ผู้ชายจีนยืนถางขา เกร็งเเขน แบบมวยจีน หน้าเป็นยังไงก็นึกไม่ออก รู้แต่ว่า นั่นละ บรูซ ลี ต้นแบบเฉินหลง

เราไม่คลั่งไคล้กังฟู
แต่สิ่งที่ทำให้เราจะพูดถึง บรูซ ลี
คือ บางส่วนของถ้อยคำ ที่เขาโปรยเอาไว้ตามรายทาง และบังเอิญว่าเราไปพบเจอมันเข้า
ทำให้ทราบว่า อีกด้านของตำนานกังฟูหมัดมวย เป็นนักปรัชญาด้วย…

Empty your mind, be formless, shapeless – like water.
Now you put water into a cup, it becomes the cup,
you put water into a bottle, it becomes the bottle,
you put it in a teapot, it becomes the teapot.
Now water can flow or it can crash.
Be water, my friend.

หากเรากลายเป็นน้ำ… ?

              เราเคยนั่งจ้องถ้วย(น้ำจิ้ม)เปล่า ในร้านหมูกระทะที่คนจอแจ เพื่อหาความหมายบางอย่าง แล้วเราไม่พบเจออะไร จึงหันหยิบตะเกียบมาคีบอาหารบนตะแกรงเข้าปาก หากท้องอิ่มความคิดดีๆคงจะแล่นมาเอง ถ้วยเปล่า มีความหมายอะไร เชิงลึกซึ้ง เชิงแฝง เชิงอารมณ์ เชิง…อะไรกันแน่ เรามองหน้าเขา คนที่ทิ้งถ้วยเปล่า(ปัญหา)ให้ขบคิด เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และปล่อยให้  ถ้วยเปล่า นั้นเป็นปริศนาของฉันต่อไป

ตอนนี้อาหารเริ่มจะหมดลงจานเปล่าโดนเก็บ เหลือไว้แต่ถ้วยเปล่าปริศนา ยังคงตั้งไว้อย่างนั้น ตอนนี้เราเกิดคำถามขึ้นมากมาย ถ้วยเปล่าสำหรับเรา และถ้วยเปล่าสำหรับเขา มันเป็นถ้วยเดียวกันแต่ไม่มีทางที่จะตีความออกมาได้เหมือนกัน

หากถ้วยเปล่าเปรียบกับจำนวนประสบการณ์ เช่นนั้น ถ้วยเปล่าคงเป็นเรา ที่ยังคงว่างเปล่า ต้องการสิ่งต่างๆลงมาเติมเต็มมัน
หากถ้วยเปล่าเปรียบกับชีวิต เช่นนั้น ถ้วยเปล่าคงเป็นเรา ที่ยังคงว่างเปล่า ต้องการเติบโตและเรียนรู้
หากถ้วยเปล่าเปรียบกับเกม เช่นนั้น ถ้วยเปล่าคงเป็นเรา ที่ไม่เคยมีเเต้มไล่ทันใคร เราไม่ชอบการเเข่งขัน
หากถ้วยเปล่าเปรียบกับเสียงเพลง เช่นนั้น ถ้วยเปล่าคงเป็นความเงียบงัน
หากถ้วยเปล่าเปรียบกับภาพยนตร์ เช่นนั้น คงเป็นหนังที่เศร้า
หากถ้วยเปล่า คือ ความรัก … นั่นคงหมายถึง เขาให้สิ่งที่เราต้องการไม่ได้ เขาให้ความรักของเขาไม่ได้

ตอนนี้ถ้วยเปล่าไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว
แต่เขาก็ยังส่งยิ้มมาให้เราอยู่
พอนึกถึงคำของเฮีย Be water , My friend เราจึงส่งยิ้มกลับไป

ของฝาก

17 Aug

ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางความรู้สึกตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น ผ่านแล่นเข้ามาในห้วงความคิดเสมอ เราชอบที่ได้โยกย้ายบรรยากาศ เปลี่ยนแปลงสถานที่ เราชอบที่ได้เจอคนแปลกหน้า ชอบที่ได้รับรู้ เรียนรู้ และเข้าใจ สิ่งต่างๆ

หลายคนบอกว่า เราเหมือนเเบกอะไรๆไว้บนบ่า แบกเอาไว้เป็นราวกับว่าสิ่งๆนั้นเป็นเรื่องตนเอง มันทำให้น้ำหนักของชีวิตเรา มีปริมานมากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่ปกติมันก็เยอะมากอยู่แล้ว กลายเป็นขาเริ่มจะรับน้ำหนักไม่ไหว เราเลยต้องดึงบางส่วนออกไป ทิ้งมันออกไป เพื่อที่จะยืนได้ไหวต่อไป

การไม่ต้องใส่ใจคนอื่นเลย มันทำให้เราตัวเบาหวิว การไม่ต้องสนคนรอบข้างเลย มันทำให้เราไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องของคนอื่น การไม่เข้าใจคนอื่น ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเรามีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นการดีที่เราจะไม่แบกเรื่องของคนอื่นไว้

ชีวิตเราเบาขึ้น แต่โลกนี้น่าอยู่น้อยลง

ตอนที่ไป ที่อื่น เราจะไม่พลาดโอกาสเขียนโปสการ์ด เราจะซื้อโปสการ์ดภาพสถานที่ที่เราได้ไปเห็นมา ไปสัมผัสมาแล้วเท่านั้น ก่อนจะบรรยายความรู้สึก ความคิด ณ ตอนนั้น ส่งเจ้าพวกนั้นไปสู่เจ้าของที่จะดูแลมันต่อไป เราคิดว่า การที่ได้เขียนโปสการ์ด ก็คือการบันทึก และเรายังสามารถแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้นให้กับคนอื่นอีกด้วย (อย่างน้อยก็คนที่เราส่งไปหา อย่างมากก็ ผู้คนระหว่างทาง ก่อนที่โปสการ์ดใบนั้นจะเดินทางถึงมือผู้รับ)

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราเดินทางไปสถานที่ที่มี ถ้วยกาเเฟ เป็นที่ระลึก พอดีว่าเรารู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่เขาชอบจะสะสมถ้วยกาแฟ อยู่เสมอ มันอดไม่ได้ที่จะซื้อถ้วยกาเเฟลายรูปทรงที่เราชอบติดมือกลับมาบ้าน กะว่าวันหนึ่งจะให้เขาเป็นของฝาก เราเคยขอที่อยู่ของเขา เพื่อจะส่งโปสการ์ดมาให้ แต่ก็ได้รับการปฎิเสธ “ของที่เขาไม่เห็นคุณค่า ยังอยากจะให้เขาอีกหรอ” เขาพูดอะไร ที่ออกจะเเปลความได้ดังนั้น

มันไม่แปลกหรอก ที่ของมีค่าของอีกคน จะไม่มีค่าสำหรับอีกคน แต่เรื่องพวกนี้ ความสำคัญมันอยู่ตรงจุดไหน

ผู้ให้ ก็แค่อยากจะให้ หรือ ผู้รับ ที่ไม่เคยอยากจะรับ

สุดท้าย ของฝาก ชิ้นนั้นยังตั้งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนเรา รวมทั้งโปสการ์ดที่เขียนถึงเขาแต่ไม่ได้ส่ง มองไปทีไรก็คิดถึง มองไปทีไรก็เข้าใจว่า ตบมือข้างเดียวมันไม่เคยดัง เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แม้จะนึกสงสัยทุกครั้งว่า แล้วเขาเอาใจเราไปใส่ใจเขาดูบ้างหรือเปล่า ? แต่ก็เชื่อว่า การผ่านโลกมามากกว่าของเขา จะมีการแก้ปัญหาได้ดีกว่าของเรา ถ้านี้ถือว่าเป็นปัญหาที่เขาต้องแก้ไขนะ

ส่วนการแก้ไขปัญหาของเรา เป็นการอยากให้น้อยลง ทำให้มันน้อยลง ชีวิตเราจะได้ไม่ต้องผิดหวังจากความอยากนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมมันได้ ก็มันเกิดจากตัวเรา ก็คงต้องดับที่ตัวเอง

มันไม่ง่าย แต่คนเราโชคดีที่มีความพยายาม

ของฝากสำหรับการเดินทางครั้งนั้น คือ การเรียนรู้ที่จะปล่อยความต้องการของตนเองที่มีต่อคนอื่นให้มีค่าเป็นศูนย์เพื่อยังรักษาความสมบูรณ์ของหัวใจตนเองไว้