… ระหว่างเดินเอ้อระเหยสัมผัสกับอากาศของ จ. ภูเก็ต ภายในสนามบินได้ไม่เกินสิบนาที แทนที่เราจะได้ยินสำเนียงเสียงภาคใต้ กลับเป็นสุ่มเสียง อันยองโฮเซโย… เพราะเราดันหลงไปอยู่ในหมู่คนเกาหลีที่นิยมไทยซะได้ พอรู้ตัวก็ไม่ได้เดินหลบหลีกไปไหน กลับกันเพราะยังไงเราก็ต้องติดแหงกอยู่ในนี้อีกเกือบชั่วโมง เราเลยนั่งลงรวมกับพี่ๆชาวเกาหลีไปซะอย่างนั้น อย่างน้อย ก็เพลินแปลกตากว่านั่งกับหมู่คนไทยด้วยกัน ฟังพวกเขาพูดโหวกเเหวกข้ามหัวไปข้ามหัวมาก็ตลกดี ที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
พวกเขาก็มองเรางงๆ แต่จะทำอะไรได้ นอกจากคิดด่าในใจว่า “หืมม มานั่งเกะกะเขาทำไม”
ตอน แรกที่พี่ๆบอกให้มาภูเก็ต เราคิดแต่ว่าจะเที่ยวยังไง ให้ไม่เสียงาน ก่อนจะพบความจริงว่า งานไม่เสียเลย แล้วเราก็ไม่ได้เที่ยวด้วย … ทั้งๆที่มาเกาะและยังตะลอนๆทั่วทั้งเมืองตลอดสองวัน กลับเห็นทะเลเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะทำหน้าตาน่าสงสารหรือออดอ้อนยังไง ก็ไม่มีเวลาเหลือพอจะปลีกตัวไปลัลล้าชายหาดไหนได้เลย พอตกค่ำ ก็อยากจะนอนสลบเอาแรงไว้ลุยงานต่อวันรุ่งขึ้น กลายเป็นคนใช้แรงงานอย่างเต็มรูปแบบเลยทีเดียว
ที่ภูเก็ต เราได้รู้จักพี่สองคน ชื่อ พี่นัน กับ พี่มูซา
พี่ นัน รูปร่างผอมและสูง คล่องแคล้ว ทำงานได้รวดเร็วและไม่อิดออด ค่อนข้างขี้เกรงใจ และไม่ต้องการออกหน้าต่อสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิน พี่นันรับหน้าที่ขับรถและเรานั่งอยู่ข้างๆ จึงมีเรื่องได้พูดคุยกันอยู่บ้าง ผิดกับพี่มูซา ชายร่างเตี้ย ที่ดูกร่ำงานหนัก ไม่ค่อยพูด อาศัยว่ายิ้มกับหัวเราะอย่างเดียว แต่ก็ไม่เกี่ยงงานเช่นกัน ทั้งคู่เป็นมุสลิม และเราเป็นพุทธ …
สิ่ง เดียวที่ทำให้เรารู้สึกต่างจากพี่นันและพี่มูซา คือ เรากินหมู และชอบกินด้วย ในขณะที่พี่ทั้งคู่จะกินแต่อาหารมุสลิม โดยคนมุสลิมทำ นอกนั้นเราไม่เห็นความแตกต่างอื่นใดอีก
ระหว่างมื้ออาหารมื้อหนึ่งที่ เรา หน้าเบ้ เพราะเบื่อและไม่เคยชินกับการกินอาหารมุสลิม พวกเครื่องแกงกลิ่นแปลกๆ พี่นันเอ่ยมาว่า “อยากกินหมูซะละมั้ง” พร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เราได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้ายอมรับหรือพูดอะไร อดทนกินต่อไป ทั้งสองวันเรากินแต่อาหารมุสลิม แทบทุกมื้อ !!!
พี่นัน เป็นคนตลก ไม่ใช่คนที่พบเจอแล้วจะปล่อยให้เขา หายไปในความทรงจำได้ ต้องได้คลุกคลีเท่านั้น ถึงจะพบ เพราะช่วงแรก พี่นันจะปฎิบัติต่อเรา เช่น เจ้านายกับลูกจ้าง ก่อนจะเป็น น้องสาวกับพี่ชาย บางครั้งเขาจะเรียกเราว่า น้องสาว… แทนชื่อ ไม่เข้าใจว่าเป็นการเรียกตามวัฒนธรรมอะไรหรือเปล่า
ระหว่าง ทางเราก็จะคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เล่าเรื่อยไปจนถึงพี่มูซา ซึ่งนั่งตากแดด ตากฝน ตากลมอยู่หลังรถกระบะ พี่มูซา เป็นคนเก่ง เขารับจ้างทำทุกอย่าง ที่มีเเรงจะทำได้ และงานประจำที่เขาทำคือ เป็นไกด์ อยู่ที่เกาะลันตา … พูดภาษาอังกฤษปรือ แต่อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ แถมมีภูมิหลังน่าสนใจตรง ไม่ใช่คนใต้แต่เป็นคนเหนือ ถ้าได้เห็นสีผิวของแก ก็จะเดาได้ว่า แกได้กลายเป็นคนใต้อย่างเต็มรูปแบบไม่ต้องสงสัยใดๆเลย ไม่ใช่ชาวมุสลิมแต่กำเนิด ได้ทำการเปลี่ยนศาสนาตอนยังเด็ก และแกก็ได้กลาบเป็นมุสลิมอย่างเต็มรูปแบบ ไม่เหลือความเป็นพุทธใดๆสักนิดเลย เช่นกัน
พอเราไปถามไถ่พี่มูซาเรื่องเกาะลันตา แกก็คุยใหญ่ บอกให้เราพาเพื่อนไปให้ได้ ถ้าเป็นเราจะลดราคาให้แน่ๆ ไม่ว่าจะนำเที่ยว หรือที่พัก เราก็อยากจะไปซะตอนนี้ … ไม่เคยเที่ยวทะเลของภาคใต้มาก่อน พอพูดแบบนั้น พี่มูซาก็รีบบอกว่า ตอนนี้ไม่ใช่น่ามัน มีพายุ เกาะปิด แกเลยเล่าไปจนถึง เหตุการณ์สึนามิที่แกได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย .. “พี่นี่ วิ่งหนีเหลือแต่กางเกงใน ไม่เหลืออะไรอีกเลย” มองเข้าไปในแววตา ทำให้เราไม่อยากจะซักไซ้ ถามไถ่อะไรอีก ได้แต่หาเรื่องเดินเลี่ยงไปซื้อกระทิงแดงมาปลอบใจ
หลังจากทำงานเสร็จ
พี่นันกับพี่มูซาเป็นคนพาเราไปส่งสนามบิน …
พี่ นันไม่ได้พูดไรมากแค่บอกว่า “โชคดีนะน้องสาว” แต่พี่มูซาสวมวิญญาณไกด์ชักชวนให้เรามาเที่ยวเกาะลันตา ในช่วงเกาะเปิดให้ได้ โอ้อวดซะเราอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ถ้าได้ไปจริงๆ ก็หวังจะได้แวะทักทายพี่มูซาเหมือนกัน
สุดท้าย ก็โบกมือร่ำลากันไปด้วยรอยยิ้มและคำแซวต่างๆนานา
เราไม่ลืมที่จะขอบคุณพวกเขา
เรา ได้ของฝากกลับมาเตือนสติตัวเองหนึ่งอย่าง คือ อย่าอารมณ์เสียเพราะงานไม่เสร็จ เพราะนอกจากงานไม่เสร็จแล้วเราจะเหนื่อยหงุดหงิดใจฟรีๆอีกด้วย
🙂